2. ดื่มน้ำเป็นประจำ โดยดื่มให้เพียงพอวันละ 8-10 แก้ว และทำอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ทุกส่วนของผิวหนังรวมทั้งริมฝีปาก อาการริมฝีปากแห้งจะค่อยดี ๆ ขึ้นเอง และยิ่งอายุที่เพิ่มมากขึ้น เซลล์ในร่างกายก็จะยิ่งเก็บความชุ่มชื้นได้น้อยลง ยิ่งจำเป็นต้องดื่มน้ำให้เพียงพอ แต่น้ำในที่นี้ไม่ได้รวมถึงน้ำหวาน น้ำอัดลม ชา กาแฟ และน้ำผลไม้นะครับ พวกนี้มันช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นไม่ได้
3.ริมฝีปากก็ต้องผลัดเซลล์ผิว หากว่าคุณปากแห้ง แต่ยังไม่มีอาการปากแตก นั่นอาจมาจากมีเซลล์ผิวหนังตายแล้วเกาะอยู่บนริมฝีปากก็เป็นได้ เมื่อปล่อยให้ปากแห้งมากจนเกินไป ก็อาจทำให้เรียวปากมีขุยขาว ๆ ลอก ๆ เกาะอยู่ และอาจทำให้เกิดอาการคล้ำของริมฝีปากได้ตามมา แต่คุณสามารถกำจัดมันออกไปด้วยการใช้สครับสำหรับริมฝีปาก ถ้าเป็นสูตรทำเองก็ให้ใช้น้ำตาลทรายแดง 1 ส่วน น้ำผึ้ง 1 ส่วน และน้ำมันมะกอกอีก 1 ส่วน นำมาผสมให้เข้ากัน แล้วนำส่วนผสมที่ได้มาสครับเบา ๆ เพื่อลอกเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้วออกไป หรือถ้าไม่มีคุณอาจจะใช้แปรงสีฟันขนนุ่ม ๆ ขัดริมฝีปากเบา ๆ ก็ได้หลังการแปรงฟันเสร็จ (แต่อย่าทำบ่อย ๆ ล่ะ เพราะเดี๋ยวปากจะยิ่งแห้งไปกันใหญ่) หลังจากนั้นก็ให้ทาลิปบาล์มบำรุงอีกหนึ่งขั้นตอนด้วย
4.ทาลิปบาล์มเป็นประจำ (Lip balm) ในระหว่างการรักษาคุณควรหาลิปบาล์มมาทาเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น ไม่ควรแกะเการิมฝีปากหรือแผลที่แห้งแตกเป็นสะเก็ด ไม่เลียริมฝีปาก
5.ทาด้วยออยล์หรือน้ำมันที่สกัดจากธรรมชาติ ก็สามารถช่วยทำให้ปากชุ่มชื้นได้ภายในไม่กี่ชั่วโมง ซึ่งก็มีอยู่หลายชนิดครับ ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันละหุ่ง น้ำมันมะกอก น้ำมันสกัดจากเมล็ดทานตะวัน โจโจบาออยล์ ฯลฯ เหล่านี้สามารถนำมาใช้บรรเทาอาการริมฝีปากแห้งแตกได้ทั้งนั้น วิธีการใช้ก็เพียงแค่นำคอตตอนบัดมาจุ่มลงในออยล์ แล้วนำมาทาริมฝีปากพร้อมกับนวดเบา ๆ เพื่อให้ออยล์ซึมและเคลือบไปทั่วริมฝีปาก
6.ทาริมฝีปากด้วยอโลเวร่าเจล เป็นที่ทราบกันดีว่าอโลเวล่าหรือว่านหางจระเข้นั้น มีคุณสมบัติในการบำรุงรักษาเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว แทนที่เราจะเลือกใช้ในรูปของครีมอโลเวร่าหรือลิปบาล์มผสมอโลเวร่า ลองหันมาใช้เจลอโลเวร่า 100% ทาริมฝีปากแทนดูสิ ซึ่งวิธีนี้จะเป็นการบำรุงแบบธรรมชาติและสามารถช่วยบรรเทาอาการปากแห้งแตกได้
7.รักษาแผลเรียวปากแห้งแตกด้วยน้ำผึ้งแท้ น้ำผึ้งมีคุณสมบัติในการฆ่าเชื้อโรคอ่อน ๆ มันจึงสามารถนำมาใช้รักษาบาดแผลริมฝีปากที่แห้งแตกและลอกจนแสบได้ดี วิธีการก็ง่าย ๆ เพียงแค่คุณใช้คอตตอนบัดจุ่มน้ำผึ้งแท้ จากนั้นนำมาทาบนริมฝีปากทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที แล้วจึงค่อยใช้ผ้านุ่ม ๆ ชุบน้ำอุ่นเช็ดออก แต่ถ้ารู้สึกว่ามันยุ่งยากเกินไป จะกินเข้าไปเลยก็ได้นะ เพราะมีประโยชน์ หากทำเป็นประจำ แผลแห้งลอกที่ทำให้รู้สึกเจ็บแสบจะบรรเทาลงภายในไม่กี่วัน
8.น้ำอุ่นผสมเกลือ ในรายที่ปากแห้งแตกจนลอกเป็นขุย ๆ ให้คุณใช้น้ำอุ่นผสมกับเกลือป่นเล็กน้อย จากนั้นใช้สำลีชุบให้เปียกพอหมาด ๆ แล้วใช้ปากคาบทิ้งไว้ประมาณ 3-5 นาที หรือจะไล่เช็ดเบา ๆ ก็ได้ให้ทั่วริมฝีปาก ก็จะช่วยทำให้ขุยต่าง ๆ หลุดลอกออกมาได้ครับ
9.เลือกรับประทานอาหารให้ถูกหลัก หันมารับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินบี เช่น ธัญพืชไม่ขัดขาว (ข้าวกล้อง), ผักใบเขียว (ผักโขม บรอกโคลี คะน้า), ถั่วเปลือกแข็ง (เมล็ดอัลมอนด์ ถั่วลิสง เมล็ดมะม่วงหิมพานต์) รวมไปถึงอาหารที่มีวิตามินเอ วิตามินซี ซึ่งพบได้มากในผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ แคร์รอต ผักใบเขียวต่าง ๆ โยเกิร์ตรสธรรมชาติ เพื่อช่วยทำให้ริมฝีปากมีสุขภาพดีขึ้น รับประทานอาหารที่มีซัลเฟอร์สูงอย่างไข่ กระเทียม และหน่อไม้ฝรั่ง เพื่อช่วยทำให้ผิวพรรณรวมทั้งริมฝีปากดูสดชื่นและเต่งตึง ส่วนอาหารเสริมก็ช่วยได้เช่นกันครับ เป็นอีกวิธีที่จะช่วยทำให้ริมฝีปากดูเปล่งปลั่งและมีสุขภาพดีขึ้นได้จากภายใน อย่างอาหารเสริมที่มีโอเมก้า 3 วิตามินเอ และวิตามินบี เพียงแค่คุณรับประทานให้ได้ในปริมาณที่เหมาะสม ก็จะช่วยทำให้ริมฝีปากชุ่มชื้นขึ้นได้ ยังไงก็ลองปรึกษาเภสัชกรเพื่อขอคำแนะนำเพิ่มเติมดูครับ
เชื่อเถอะว่าไม่มีใครปรารถนาอยากเห็นริมฝีปากที่แห้งแตกเป็นขุยของคุณอย่างแน่นอน ดังนั้นการหันมาดูแลริมฝีปากของตัวเองอย่างจริงจัง จะช่วยทำให้คุณดูดีมีเสน่ห์มากขึ้นจนเป็นที่สะดุดตาอย่างแน่นอน สรุปทิ้งท้ายไว้ละกัน ขั้นตอนหลัก ๆ ก็เริ่มจากเลิกจับ แกะ เม้ม และเลียริมฝีปาก ดื่มน้ำให้มาก ๆ ทาลิปมันยี่ห้อที่ชอบทุกครั้งที่ปากเริ่มแห้ง หลังการแปรงฟัน ถ้าปากมีคราบขาว ๆ ก็ให้สครับออกเบา ๆ ก่อนนอนก็โบกลิปมันก่อนนอนทุกคืน ถ้าทำได้ตามนี้รับรองหายแน่นอนครับ ล้านนนน %%%
เครดิต..ข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย (MedThai)