กลูต้าไธโอนคืออะไร จำเป็นต่อร่างกายหรือไม่?
กลูต้าไธโอนคืออะไร จำเป็นต่อร่างกายหรือไม่?
กลูต้าไธโอนเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญชนิดหนึ่งที่ร่างกายสามารถสร้างขึ้นเองได้จากอาหารประเภทโปรตีน ไข่ และ นม รวมถึงผักผลไม้ประเภทหน่อไม้ฝรั่ง อะโวคาโด และวอลนัท ร่างกายจะเก็บกลูต้าไธโอนที่สร้างขึ้นไว้ที่ตับ สามารถพบกลูตาไธโอนได้ในทุกเซลล์ของร่างกาย
กลูต้าไธโอนมีความจำเป็นต่อร่างกาย โดยช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ต่างๆ ช่วยให้ร่างกายดูดซึมวิตามินซีและอีได้มากขึ้น เป็นตัวกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกาย ช่วยสร้างและซ่อมแซม DNA นอกจากนี้ยังช่วยขับสารพิษออกจากร่างกายอีกด้วย โดยผ่านการสร้างเอนไซม์ชนิดต่างๆ และช่วยป้องกันตับจากการถูกทำลายโดยแอลกอฮอล์
กลูต้าไธโอนใช้ในทางการแพทย์อย่างไร ช่วยให้ผิวขาวจริงหรือไม่?
กลูต้าไธโอนใช้ในทางการแพทย์อย่างไร ช่วยให้ผิวขาวจริงหรือไม่?
มีรายงานการใช้กลูต้าไธโอนในรูปแบบของการฉีดอยู่หลายกรณี ทั้งใช้ในกรณีฉุกเฉิน เช่น ฉีดเพื่อเพิ่มการไหลเวียนของเลือดระหว่างการผ่าตัด การรักษาโรคทางระบบประสาท การขับพิษจากโลหะหนัก สารระเหย ยาฆ่าแมลง ยาพาราเซตามอลเกินขนาด และใช้ในการเพิ่มภูมิต้านทานให้กับผู้ป่วยเอดส์และมะเร็ง เป็นต้น ในบางประเทศได้ขึ้นทะเบียนกลูต้าไธโอนเป็นยา บางประเทศอนุญาตให้ใช้เป็นอาหาร เสริมได้ แต่สำหรับในประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ยังไม่ได้ขึ้นทะเบียนกลูต้าไธโอนเป็นยาและไม่อนุมัติให้ใช้สารชนิดนี้ในรูปแบบฉีด
เซลล์เมลาโนไซต์ (melanocyte) ซึ่งเป็นเซลล์ที่พบได้ในชั้นล่างสุดของผิวหนังชั้นนอก (epidermis) ทำหน้าที่ผลิตเม็ดสีชนิดเมลานิน (melanin) และส่งกระจายไปยังผิวหนังชั้นนอก ผลิตภัณฑ์ที่ต่างๆ ที่มุ่งเน้นให้หน้าขาวหรือทำให้ผิวขาวจะมีส่วนผสมที่สามารถยับยั้งกระบวนการสร้างสารเม็ดสีของเซลล์เมลาโนไซต์นี้ (ภาพประกอบจาก wikipedia.org)
หากถามว่ากลูต้าไธโอนช่วยทำให้ผิวขาวได้จริงหรือไม่ ต้องบอกว่าเดิมทีกลูต้าไธโอนถูกผลิตขึ้นมาเพื่อใช้ในการฉีดเพิ่มภูมิต้านทาน เพื่อรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งระยะสุดท้าย แต่กลับพบว่าผู้ป่วยมีผิวขาวขึ้นและมีสีผมอ่อนลงหลังฉีดยา จึงอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้มีการนำกลูต้าไธโอนมาฉีดเพื่อทำให้ผิวขาวกันมากขึ้น ซึ่งความเป็นจริงแล้วหากร่างกายได้รับกลูตาไธโอนมากเกินไป ก็จะไปกดการสร้างเม็ดสีของผิวทำให้ผิวขาว ซึ่งอธิบายได้จากการที่ปกติในร่างกายของคนเราจะมีเซลล์สร้างเม็ดสี (Melanocyte) ซึ่งจะผลิตเม็ดสีเมลานินอยู่ 2 ชนิด คนที่มีผิวคล้ำแบบคนเอเชียหรือคนไทยจะมีเม็ดสีขนาดใหญ่ เรียกว่า “ยูเมลานิน” (Eumelanin) ส่วนคนที่ผิวขาวแบบฝรั่งจะมีเม็ดสีขนาดเล็กกว่า เรียกว่า “ฟีโอเมลานิน” (Pheomelanin) เมื่อร่างกายเราได้รับกลูต้าไธโอนในปริมาณมาก จะไปกดการสร้างยูเมลานินตามปกติให้ลดน้อยลงและเปลี่ยนเป็นการสร้างฟีโอเมลา นินในปริมาณที่เพิ่มขึ้นชั่วขณะ ดังนั้นจึงทำให้ผิวดูขาวขึ้น แต่เนื่องจากกลูต้าไธโอนไม่สามารถปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางพันธุกรรมของเซลล์ สร้างเม็ดสีได้ ดังนั้นเมื่อเวลาผ่านไปเซลล์สร้างเม็ดสีก็กลับไปสร้างเม็ดสียูเมลานินมากตาม ปกติเหมือนเดิม ดังนั้นผู้ที่ฉีดกลูต้าไธโอนเพื่อให้ผิวขาวขึ้น จึงจำเป็นต้องฉีดในปริมาณมากกว่าขนาดที่ใช้ในการรักษาตามปกติหลายเท่าตัว เป็นเวลาต่อเนื่องกันนาน จึงไม่จัดเป็นการดีท็อกซ์ และอาจมีอันตรายต่อสุขภาพในระยะยาวได้
การใช้กลูต้าไธโอนมีอันตรายหรือมีผลต่อชีวิตอย่างไรบ้าง?
การใช้กลูต้าไธโอนมีอันตรายหรือมีผลต่อชีวิตอย่างไรบ้าง?
ผลข้างเคียงที่น่ากลัวคือการฉีดยาใดๆก็ตามเข้าเส้นเลือดดำ ล้วนมีโอกาสที่จะแพ้ได้ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นการแพ้ตัวยาเอง หรืออาจจะแพ้สารฆ่าเชื้อ สารกันเสีย สารปนเปื้อน ซึ่งจากรายงานในต่างประเทศพบว่าผู้ที่ได้รับการฉีดกลูต้าไธโอนในปริมาณสูงมี อาการช็อก ความดันต่ำ หายใจไม่ออก และเสียชีวิตได้หากไม่ได้รับการช่วยเหลืออย่างทันท่วงที
การ ฉีดกลูต้าไธโอน มักให้ร่วมกับวิตามินซีขนาดสูง เพื่อกระตุ้นให้ออกฤทธิ์ได้ชัดเจนขึ้น ซึ่งการฉีดวิตามินซีในขนาดที่สูงและเร็วเกินไปอาจทำให้เกิดอาการมึนศีรษะ คล้ายจะเป็นลมได้ หากใช้กลูต้าไธโอนในผู้ป่วยมะเร็ง อาจทำให้ประสิทธิภาพของเคมีบำบัดลดลง การได้รับสารกลูต้าไธโอนในปริมาณมากมีผลทำให้กระบวนการต้านอนุมูลอิสระของ ร่างกายเสียสมดุล กลายเป็นอนุมูลอิสระ กลับมาทำร้ายร่างกายได้
นอกจากนี้ก็ยังพบว่ามีการนำสารกลูต้าไธโอน ที่ไม่ผ่านการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) รวมทั้งยาปลอมที่ผลิตที่เวียดนาม และ จีน มาจำหน่ายและใช้อย่างผิดกฎหมาย แต่ที่น่าเป็นห่วงมากที่สุดคือ ปัจจุบันมีการ โฆษณาขายกลูต้าไธโอนอย่างแพร่หลายทางอินเทอร์เน็ตราคาตั้งแต่หลักร้อยไปจน ถึงเป็นหมื่นบาท ที่มีการแนะนำวิธีฉีดและอวดอ้างสรรพคุณจนทำให้คนที่อยากขาว เกิดความสนใจและซื้อหาไปทดลองฉีดกันเอง ซึ่งอาจทำให้เกิดการแพ้ ติดเชื้อ และปัญหาอื่นๆ ตามมาอีกมาก
มีข่าวว่าการใช้สารกลูต้าไธโอนจะทำให้ตาบอดและเป็นมะเร็ง จริงหรือไม่?
มีข่าวว่าการใช้สารกลูต้าไธโอนจะทำให้ตาบอดและเป็นมะเร็ง จริงหรือไม่?
สำหรับข่าวการใช้สารกลูต้าไธโอนแล้วทำให้ตาบอดและเป็นมะเร็ง สามารถอธิบายได้ว่า การที่ร่างกายได้รับสารกลูต้าไธโอนเป็นเวลานานๆ จะทำให้เม็ดสีเมลานินบริเวณผิวหนังและที่จอตามีปริมาณลดลง ทำให้จอตารับแสงได้น้อยลงและเสี่ยงต่อการมองเห็นได้ในอนาคต ทางวารสารทางการแพทย์ของประเทศสหรัฐอเมริกาจึงได้จัดว่ากลูต้าไธโอนเป็นสารที่อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงทางตา ส่วนเม็ดสีเมลานินที่ผิวหนังจะทำหน้าที่เหมือนฟิล์มกรองแสงที่ผิวหนัง หากเม็ดสีที่ผิวหนังมีปริมาณลดลง ร่างกายก็จะขาดเกราะป้องกันแสงอัลตราไวโอเลต (UV) ทำให้ผิวเหี่ยวย่นเร็วและแก่เร็วขึ้น รวมทั้งเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งผิวหนังอีกด้วย ดังนั้น ถึงแม้ตัวสารกลูต้าไธโอนเองจะเป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระ แต่การได้รับแสงอัลตราไวโอเลตในปริมาณมากกลับอันตรายยิ่งกว่าอนุมูลอิสระ เสียอีก
เหตุใดการฉีดกลูต้าไธโอนจึงต้องฉีดเข้ากล้ามเนื้อหรือเส้นเลือดโดยตรง?
เหตุใดการฉีดกลูต้าไธโอนจึงต้องฉีดเข้ากล้ามเนื้อหรือเส้นเลือดโดยตรง?
กลูต้าไธโอนมีทั้งชนิดฉีด ชนิดพ่น และชนิดรับประทาน ซึ่งอย่างที่ทราบกันอยู่แล้วว่าสารชนิดนี้หากรับประทานจะถูกย่อยไปก่อนการดูดซึม จึงมีผู้พยายามลองใช้ในปริมาณสูงๆ เพื่อหวังว่าจะดูดซึมได้บ้าง แต่จนถึงปัจจุบัน ยังไม่มีการศึกษาใดบอกว่าต้องกินมากแค่ไหนจึงจะดูดซึมได้ แล้วก็ไม่มีใครรู้ว่าปริมาณที่กินมากๆนั้นจริงๆแล้วดูดซึมได้หรือเปล่า และผลข้างเคียงระยะยาวมีอะไรบ้าง
ส่วนยาชนิดฉีดเข้ากล้ามเนื้อหรือเข้าเส้นเลือดโดยตรงน่าจะเพิ่มขนาดยาได้แน่ นอนกว่า แต่ผลข้างเคียงที่น่ากลัว คือการฉีดยาเข้าเส้นเลือดดำมีโอกาสที่จะแพ้ได้ กลูต้าไธโอนชนิดฉีดมีใช้ในคลินิกเอกชนมานานแล้ว แต่ยังไม่มีการใช้ในโรงพยาบาลรัฐหรือโรงเรียนแพทย์ เพราะไม่มีการศึกษาถึงประสิทธิภาพและความปลอดภัยในระยะยาว นอกจากนี้การฉีดยังเป็นการเพิ่มสารกลูต้าไธโอนได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น อาจทำให้ผิวขาวขึ้นได้ในเวลาสั้นๆ หลังจากนั้นสีผิวก็จะกลับเป็นเหมือนเดิม จึงต้องทำให้ฉีดต่อไปเรื่อยๆไม่มีที่สิ้นสุด
สุดท้ายนี้ ผู้บริโภคไม่ควรตกเป็นเหยื่อของคำโฆษณาใดๆ ที่อวดอ้างว่าจะสามารถช่วยทำให้ผิวขาวขึ้นได้ เพราะในความเป็นจริงแล้วไม่มีผลิตภัณฑ์ไหนที่จะทำให้ผิวขาวขึ้นได้อย่างถาวร ผลิตภัณฑ์หรือยาที่ใช้อาจช่วยได้เพียงชั่วคราว แต่เมื่อหมดฤทธิ์ร่างกายก็กลับไปผลิตเม็ดสีตามปกติ ทั้งนี้การที่ประชาชนในแถบเอเชียหรือประเทศเขตร้อน มีผิวคล้ำถือเป็นเรื่องที่มีประโยชน์ เพราะสามารถป้องกันแสงอัลตราไวโอเลตจากแสงอาทิตย์ได้ ทำให้โอกาสการเกิดมะเร็งผิวหนังของเราน้อยกว่าคนผิวขาว จึงไม่ควรมีค่านิยมที่ผิดในการเปลี่ยนสีผิวให้ผิดธรรมชาติ
ขอบคุณที่มาและภาพจาก : ศูนย์วิทยบริการ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา
บทความโดย : อ.พญ.ชนิตว์วัณณ์ ตรีวิทยาภูมิ
หน่วยโรคผิวหนัง ภาควิชาอายุรศาสตร์คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี
มหาวิทยาลัยมหิดล (หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ฉบับ 19 เมษายน 2552)